วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มนุษย์เกิดมาทำไม ?

มนุษย์เกิดมาทำไม?
       ตามปกติคนที่เกิดมาในโลกนี้มีเครื่องผูกพันด้วยกันทุกคนท่านเปรียบไว้ว่าโลกของเรานี้เปรียบเหมือนคุกตะรางอันใหญ่ ส่วนคนที่เกิดมาในโลกนี้เปรียบเหมือนนักโทษที่ถูกจองจำ นักโทษที่ถูกจองจำนั้นบางคนโทษหนัก บางคนโทษเบา เมื่อได้รับโทษแล้ว จะต้องถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนต่างๆ มัดมือบ้าง เท้าบ้าง คนที่เกิดมาในโลกนี้มีเครื่องผูกมัดพันธนาการเหมือนกัน
       เรื่องนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้เอง มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีภิกษุ ๔- ๕ รูป ไปบิณฑบาตในเมืองไปเห็นนักโทษที่กำลังถูกจองจำต่างๆ มีโซ่ตรวนมัดมือ มัดเท้า บางคนก็มัดคอ เมื่อพระเหล่านั้นกลับมาถึงวัดแล้วพากันสนทนาถึงนักโทษเหล่านั้นว่ามีโทษอะไรหนอ จึงต้องถูกจองจำอย่างนั้น
      สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงสดับ จึงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำที่เธอเห็นมานั้นเป็นเครื่องจองจำภายนอก ไม่แน่นหนาถาวรเหมือนเครื่องจองจำภายใน ตัดง่าย แก้ง่ายกว่าเครื่องจองจำภายใน เครื่องจองจำภายในคืออะไรเล่า เครื่องจองจำคือบุตร ภรรยา สามี ทรัพย์สมบัติ
      มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยว         พันคอ
      ทรัพย์ผูกบาทาคลอ          หน่วงไว้
      ภรรยาสามีเยี่ยงบ่วงปอ      รึงรัด มือนา
      สามบ่วงใครพ้นได้           จึ่งพ้นสงสาร
     คนเราถูกบ่วงเหล่านี้ผูกมัดไว้ คล้ายกับโซ่ตรวนที่ผูกมัด มือเท้าและคอ จึงเป็นเหตุให้คนเราติดอยู่ในโลกนี้ ไม่สามารถปฏิบัติธรรมให้รอดพ้นจากความทุกข์ได้ เหมือนกับคนที่ติดคุกติดตะรางไม่สามารถจะออกไปไหนได้
      ที่พึ่งอันประเสริฐของเรานั้นคือบุญกุศล บุญกุศล จะเกิดขึ้นแก่เราได้ก็ด้วยการให้ทานบ้าง รักษาศีลบ้าง เจริญภาวนาบ้าง หรือฟังธรรมให้เกิดสติปัญญารู้จักข้อปฏิบัติธรรมะ เปรียบเหมือนดวงประทีปส่องทางให้เราเดินถูกทาง เมื่อเราทราบว่าเราทุกคนเป็นนักโทษที่อยู่ในเรือนจำใหญ่ คือ โลกขอให้ท่านใช้ปัญญาไปพิจารณาตัดเครื่องมัดต่างๆ เพื่อจะได้มีโอกาสออกจากเรือนจำโลกนี้บ้าง การฝึกฝนอบรมจิตใจจะมีประโยชน์แก่ชีวิต จะได้รู้จักใช้ธรรมะแก้ปัญหาความทุกข์เหล่านั้น ไม่ให้มีความทุกข์จนเกินไป
      อันนี้เป็นผลที่ได้จากการศึกษาอบรมให้มีปัญญา และขอให้จงคิดว่าเราถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยกันทุกคน พญามัจจุราชได้ตัดสินประหารชีวิตเราแล้ว แต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น จึงขออย่าได้ประมาท อย่ามัวเมา อย่าลืมตัวจงคิดถึงปัจฉิมโอวาทที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเสด็จปรินิพพานว่า
      “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราตถาคตจะขอเตือนเธอทั้งหลายสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไป สิ้นไป เป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงรีบทำประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
      พระองค์ตรัสสั่งไว้เป็นครั้งสุดท้าย โดยพระองค์ทรงห่วงใยเกรงว่าชาวโลกจะลืมตัวมัวเมา ประมาท ไม่คิดสร้างกุศลปฏิบัติธรรม ผู้ใดเป็นคนประมาท เป็นคนลืมตัว ชีวิตของเขาก็เป็นโมฆะว่างเปล่า แม้จะมีทรัพย์สมบัติภายนอก แต่ภายในไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสาร บุคคลประเภทนี้เหมือนต้นไม้ไม่มีแก่น เช่น ต้นกล้วย กลวงในไม่มีค่า เพราะฉะนั้นเราต้องทำตนให้เป็นคนมีแก่น คือ มีบุญกุศลเป็นแก่นภายใน มีที่พึ่งอันประเสริฐสร้างสมอบรมไว้ที่จิตใจ ติดดวงวิญญาณไปชาติหน้าจนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน
(จากหนังสือบทเทศนา ของพระครูพรหมญาณวิกรม (บุญรอด ปัญญาวโร) ฝ่าย เผยแผ่พระพุทธศาสนา กองศาสนศึกษา กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๓๘)     ถ้าจะถามต่อไปอีกว่า คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ตายแล้วไปไหน?ขอตอบว่า คนเราเมื่อตายแล้ว จะต้องไปเกิดอีก ยกเว้นพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เกิด ส่วนตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน? เป็นอะไร? ขอเรียนว่า แต่ละคนจะไปสู่ที่ชอบๆ ของตน ในขณะที่มีชีวิตอยู่ ว่าจิตในขณะนั้น ชอบอะไร? กล่าวคือ จะไปสู่สุคติหรือทุคติ ดังนี้ :-

ทางสายที่ ๑ หากขณะเป็นคน ชอบโทสะ จะไปเกิดในทุคติอบายภูมิเป็นสัตว์นรก
ทางสายที่ ๒ หากขณะเป็นคน ชอบโลภะ จะไปเกิดในทุคติอบายภูมิเป็นเปรต อสุรกาย
ทางสายที่ ๓ หากขณะเป็นคน ชอบโมหะ (หลง) จะไปเกิดในทุคติอบายภูมิเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ทางสายที่ ๔-๕ หากขณะเป็นคน ชอบถือศีล ให้ทาน จะไปเกิดในสุคติภูมิเป็นมนุษย์ และ เทวดา ในเทวโลกสวรรค์ ๖ ชั้น แล้วแต่เหตุปัจจัย
ทางสายที่ ๖ หากขณะเป็นคน ชอบสมาธิภาวนา จนสำเร็จฌาน จะไปเป็น พรหม ในพรหมโลก ๒๐ ชั้น แล้วแต่เหตุปัจจัย
ทางสายที่ ๗ หากขณะเป็นคน ชอบวิปัสสนากรรมฐาน ปหานกิเลสเป็น สมุจเฉท ดับรูปนามขันธ์ห้า สำเร็จอรหัตตผลและนิพพานไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก

อบคุณ : http://thai.mindcyber.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น