วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อรรถกถา สัมโมทมานชาดก
ว่าด้วย พินาศเพราะทะเลาะกัน
พระศาสดา เมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยพระนครสาวัตถีประทับอยู่ในนิโครธาราม ทรงปรารภ การทะเลาะกันแห่งพระญาติ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า สมฺโมทมานา ดังนี้.
การทะเลาะแห่งพระญาตินั้น จักมีแจ้งใน
กุณาลชาดก.
ก็ในกาลนั้นพระศาสดาตรัสเรียกพระญาติทั้งหลายมา แล้วตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ชื่อว่าการทะเลาะกันและกันแห่งพระญาติทั้งหลาย ไม่สมควร. จริงอยู่ ในกาลก่อนในเวลาสามัคคีกัน แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายก็ครอบงำปัจจามิตร ถึงความสวัสดีในกาลใด ถึงการวิวาทกัน ในกาลนั้น ก็ถึงความพินาศใหญ่หลวงผู้อันราชตระกูลแห่งพระญาติทั้งหลายทูลอ้อนวอนแล้ว
จึงทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี.พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกกระจาบ มีนกกระจาบหลายพันเป็นบริวาร อยู่ในป่า.
ในกาลนั้นพรานล่านกกระจาบคนหนึ่ง ไปยังที่อยู่ของนกกระจาบเหล่านั้นทำเสียงร้องเหมือนนกกระจาบ รู้ว่า นกกระจาบเหล่านั้นประชุมกันแล้วจึงทอดตาข่ายไปข้างบนนกกระจาบเหล่านั้น แล้วกดที่ชายรอบๆกระทำให้นกกระจาบทั้งหมดมารวมกัน แล้วบรรจุเต็มกระเช้าไปเรือน ขายนกกระจาบเหล่านั้นเลี้ยงชีพด้วยมูลค่านั้น.
อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์กล่าวกะนกกระจาบเหล่านั้นว่านายพรานนกนี้ทำพวกญาติของเราทั้งหลายให้ถึงความพินาศ เรารู้อุบายอย่างหนึ่งอันเป็นเหตุให้นายพรานนกนั้นไม่อาจจับพวกเรา. จำเดิมแต่บัดนี้ไปเมื่อนายพรานนกนี้สักว่า ทอดข่ายลงเบื้องบนพวกเรา ท่านทั้งหลายแต่ละตัวจงสอดหัวเข้าในตาของตาข่ายตาหนึ่งๆ พากันยกตาข่ายขึ้น แล้วพาบินไปยังที่ที่ต้องการแล้วพาดลงบนพุ่มไม้มีหนาม เมื่อเป็นอย่างนั้นพวกเราจักหนีไปทางส่วนเบื้องล่างโดยที่นั้น.
นกกระจาบเหล่านั้นทั้งหมดพากันรับคำแล้ว ในวันที่ ๒เมื่อพรานนกทอดข่ายลงเบื้องบน ก็พากันยกข่ายขึ้น โดยนัยที่พระโพธิสัตว์กล่าวแล้วนั่นแหละ แล้วพาดลงบนพุ่มไม้มีหนามแห่งหนึ่ง ส่วนตนเองหนีไปทางนั้นๆโดยส่วนเบื้องล่าง.
เมื่อพรานนกมัวปลดข่ายจากพุ่มไม้อยู่นั่นแหละ ก็เป็นเวลาพลบคํ่า.นายพรานนกนั้นจึงได้เป็นผู้มีมือเปล่ากลับไป.
แม้จำเดิมแต่วันรุ่งขึ้นนกกระจาบเหล่านั้นก็กระทำอย่างนั้นนั่นแหละ. ฝ่ายนายพรานนกนั้นเมื่อปลดเฉพาะข่ายอยู่ จนกระทั่งพระอาทิตย์อัสดง ไม่ได้อะไรๆเป็นผู้มีมือเปล่าไปบ้าน.
ลำดับนั้น ภรรยาของเขาโกรธพูดว่า ท่านกลับมามือเปล่า ทุกวันๆเห็นจะมีที่ที่ท่านจะต้องเลี้ยงดูข้างนอก แม้แห่งอื่น.
นายพรานนกกล่าวว่า นางผู้เจริญเราไม่มีที่ที่จะเลี้ยงดูแห่งอื่น ก็อนึ่งแล นกกระจาบเหล่านั้นมันพร้อมเพรียงกันเที่ยวไป มันพากันเอาข่าย สักว่าพอเราเหวี่ยงลงไปพาดบนพุ่มไม้มีหนาม แต่พวกมันจะไม่ร่าเริงอยู่ได้ตลอดกาลทั้งปวงดอกเจ้าอย่าเสียใจ เมื่อใด พวกมันถึงการวิวาทกัน เมื่อนั้น เราจักพาเอาพวกมันทั้งหมดมาทำหน้าของเธอให้ชื่นบานเถิด
แล้วกล่าวคาถานี้แก่ภรรยาว่า
นกกระจาบทั้งหลายร่าเริงบันเทิงใจพาเอาข่ายไป เมื่อใด พวกมันทะเลาะกันเมื่อนั้น พวกมันจักตกอยู่ในอำนาจของเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยทา เต วิวทิสฺสนฺติความว่า ในกาลใด นกกระจาบเหล่านั้นมีลัทธิต่างๆ กัน มีการยึดถือต่างๆ กันจักวิวาทกัน คือจักทำการทะเลาะกัน.
บทว่า ตทาเอหินฺติ เม วสํ ความว่า ในกาลนั้น นกกระจาบเหล่านั้นแม้ทั้งหมดจักมาสู่อำนาจของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจักจับนกกระจาบเหล่านั้นมาทำใบหน้าของเธอให้เบิกบานไว้ นายพรานนกปลอบโยนภรรยา ด้วยประการดังกล่าวมา ฉะนี้.
โดยล่วงไป ๒-๓ วันนกกระจาบตัวหนึ่ง เมื่อจะลงยังภาคพื้นที่หากินไม่ได้กำหนดจึงได้เหยียบหัวของนกกระจาบตัวอื่น. นกกระจาบตัวที่ถูกเหยียบหัวโกรธว่าใครเหยียบหัวเรา. เมื่อนกกระจาบตัวนั้น แม้จะพูดว่า เราไม่ได้กำหนดจึงได้เหยียบท่านอย่าโกรธเลย ก็ยังโกรธอยู่นั่นแหละ. นกกระจาบเหล่านั้นเมื่อพากันกล่าวอยู่ซํ้าๆ ซากๆ จึงกระทำการทะเลาะกันว่า เห็นจะท่านเท่านั้นกระมังยกข่ายขึ้นได้.
เมื่อนกกระจาบเหล่านั้นทะเลาะกัน พระโพธิสัตว์คิดว่า ขึ้นชื่อว่าการทะเลาะกัน ย่อมไม่มีความปลอดภัย บัดนี้แหละ นกกระจาบเหล่านั้นจักไม่ยกข่ายแต่นั้น จักพากันถึงความพินาศใหญ่หลวง นายพรานนกจักได้โอกาส เราไม่อาจอยู่ในที่นี้.พระโพธิสัตว์นั้นจึงพาบริษัทของตนไปอยู่ที่อื่น.
ฝ่ายนายพรานนก พอล่วงไป ๒-๓ วันก็มาแล้วร้องเหมือนเสียงนกกระจาบซัดข่ายไปเบื้องบนของนกกระจาบเหล่านั้นผู้มาประชุมกัน.
ลำดับนั้น นกกระจาบตัวหนึ่งพูดว่า เขาว่าเมื่อท่านยกข่ายขึ้นเท่านั้น ขนบนหัวจึงร่วง บัดนี้ ท่านจงยกขึ้น.นกกระจาบอีกตัวหนึ่งพูดว่า ข่าวว่า เมื่อท่านมัวแต่ยกข่ายขึ้น (จน)ขนปีกทั้งสองข้างร่วงไป บัดนี้ ท่านจงยกขึ้น.
ดังนั้น เมื่อนกกระจาบเหล่านั้นมัวแต่พูดว่า ท่านจงยกขึ้นท่านจงขึ้น นายพรานนกมารวบเอาข่าย ให้นกกระจาบเหล่านั้นทั้งหมดมารวมกันแล้วใส่เต็มกระเช้า ได้ไปเรือน ทำให้ภรรยาร่าเริงใจ.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตรทั้งหลายชื่อว่า ความทะเลาะแห่งพระญาติทั้งหลายไม่ควรอย่างนี้เพราะความทะเลาะเป็นมูลเหตุแห่งความพินาศถ่ายเดียว.
แล้วทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิกันแล้ว ทรงประชุมชาดก ว่า
นกกระจาบตัวที่ไม่เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็น
พระเทวทัต
ส่วนนกกระจาบตัวที่เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็น
เราตถาคตแล.
อรรถกถา สัมโมทมานชาดก จบ